เคมีเกษตรไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
เคมีเกษตรไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
การรณรงค์ “ชีวิตปลอดภัย ตายเป็นศูนย์” ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา เพียง 6 วัน มีผู้สังเวยชีวิตมากถึง 321 คน บาดเจ็บหลายพันคน จากเหตุ “เมาแล้วขับ” โดยที่การขับขี่ปกติก็เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตอยู่แล้ว เมื่อเพิ่มความเมาอีกชั้น อันตรายก็มากขึ้น
ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมาช้านาน ประชากรมากกว่า 50% มีอาชีพเกษตรกร ทุกวันนี้ประชากรไทยอยู่ดีกินดี เพราะเราผลิตอาหารได้เอง และยังส่งออกทำรายได้มากกว่า 1 ล้านล้านบาท/ปี
แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่การเกษตรไทยไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐเท่าที่ควร แทนที่จะเฝ้าระวังปกป้องผลประโยชน์ให้เกษตรกร กลับปล่อยให้กลุ่มบุคคลแสวงหาประโยชน์ หลอกลวงเกษตรกร สร้างเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก เหยียบย่ำซ้ำเติม สิ่งที่ถูกต้องให้เสียหาย โดยเฉพาะสารเคมีเกษตรที่ถูกจ้องกระทำ ซ้ำร้ายคนพวกนี้ยังฉวยโอกาสโฆษณาชวนเชื่อขายน้ำหมัก สารมหัศจรรย์ทั้งหลาย เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากทางราชการ
แท้ที่จริง ปุ๋ยเคมี และสารเคมีเกษตรเป็นปัจจัยการผลิตพืชที่สำคัญ ดินในพื้นที่เพาะปลูกมานานย่อมเสื่อมความสมบูรณ์ลง ธาตุอาหารถูกพืชดูดกินเปลี่ยนสภาพเป็นผลผลิต บางส่วนถูกชะล้าง และสูญสลายตามธรรมชาติ จึงจำเป็นต้องเพิ่มธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม ก็ล้วนเป็นวัตถุดิบที่ผลิตจากธรรมชาติทั้งสิ้น
ส่วนสารกำจัดศัตรูพืชนั้น เกษตรกรใช้เพราะมีการขยับตัวปลูกเพื่อการค้า และปลูกหมุนเวียนตลอดปี เมื่อพื้นที่ปลูกมีจำกัด จำเป็นต้องผลิตให้ได้มาก ทั้งปริมาณและคุณภาพ ประกอบกับสภาพภูมิอากาศของไทยเป็นเขตร้อนขึ้น ฝนชุก ยิ่งเอื้อต่อการแพร่ระบาดของศัตรูพืช ไม่จำเป็นจริง ๆ แล้วคงไม่มีเกษตรกรคนไหนใช้ให้เปลืองเงินทอง
สารเคมีเกษตรเหล่านี้ ต้องผ่านกระบวนการทดลอง และคัดเลือกนานนับ 10 ปี เสียค่าใช้จ่ายหลายพันล้านบาทต่อผลิตภัณฑ์ ต้องใช้กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานควบคุมความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ ต้องตรวจสอบความเป็นพิษและประสิทธิภาพจากองค์กรต่างประเทศ เช่น องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ องค์กรสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตร สารเคมีบางตัวอันตรายน้อยกว่าเกลือแกงด้วยซ้ำไป
น่าแปลกใจที่ใช้สารเคมีเกษตรมากว่า 60 ปี แล้ว แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังใช้ไม่ถูกต้อง ใช้พร่ำเพรื่อ บางครั้งใช้มากเกินความจำเป็น จนเกิดผลเสีย เช่น มีสารตกค้างในอาหาร เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ และสิ่งแวดล้อม สารเคมีเกษตรจึงถูกผลักให้เป็นจำเลยของสังคมอยู่เนือง ๆ ถึงขนาดจะให้เลิกใช้เลยทีเดียว
เปรียบเทียบกับอันตรายจากการขับขี่รถยนต์ ซึ่งทำให้คนตายมากกว่าสารเคมีเกษตรเป็นร้อยเท่า ถ้าใช้หลักคิดเดียวกัน อีกหน่อยมิต้องเลิกใช้ด้วยหรือ?
รัฐบาลไทยเองก็หลงประเด็นที่หันมาโหมส่งเสริมการเกษตรไร้สารเคมีที่เรียกว่า เกษตรอินทรีย์ กันอย่างใหญ่โต กลายเป็นเรื่องเกาไม่ถูกที่คันโดยแท้
ขืนปล่อยไว้เยี่ยงนี้ ไม่ช้าประเทศไทยต้องซื้อข้าวเพื่อนบ้านกิน แถมยังเสียตำแหน่งครัวของโลกให้เป็นที่อับอายแก่บรรพบุรุษอีกด้วย